นักวิทยาศาสตร์ในเดนมาร์กได้พัฒนา AI ที่สามารถพยากรณ์ความตายของบุคคลได้อย่างแม่นยำถึง 79% โดย AI นี้จะวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ของบุคคล เช่น ข้อมูลสุขภาพ ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน และข้อมูลอื่นๆ เพื่อคาดการณ์ว่าบุคคลนั้นจะมีแนวโน้มเสียชีวิตเมื่อไหร่
AI ตัวนี้ชื่อว่า “Death Bot” หรือ “บอทแห่งความตาย” ได้รับการพัฒนาโดย Sune Lehmann Jorgensen จากมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดนมาร์ก โดยเขากล่าวว่า AI ตัวนี้มองชีวิตมนุษย์เป็นลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่ชุดคำแต่ละคำที่มีความสัมพันธ์กันเพื่อสร้างความหมายของประโยค
Jorgensen กล่าวว่า “เราใช้แบบจำลองนี้เพื่อสามารถทำนายเหตุการณ์ในอนาคตของคุณตามเงื่อนไขและเหตุการณ์ในอดีตของคุณได้”
นักวิจัยได้นำกลุ่มคนอายุ 35 ถึง 65 ปี ซึ่งครึ่งหนึ่งเสียชีวิตระหว่างปี 2559 ถึง 2563 และป้อนข้อมูลให้กับ AI ตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2559 เพื่อขอให้ AI คาดการณ์ว่าใครจะยังมีชีวิตอยู่และใครจะเสียชีวิตภายในปี 2563
ผลปรากฏว่า AI ตัวนี้สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำถึง 78.8% ซึ่งสูงกว่าอัตราความแม่นยำของการสุ่มเดาที่ 50% และสูงกว่าระบบการวิเคราะห์ชีวิตมนุษย์แบบเดิมๆ ที่บริษัทประกันภัยใช้ ซึ่งมีอัตราความแม่นยำเพียง 55.5%
อย่างไรก็ตาม Jorgensen เตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่จะใช้แบบจำลองนี้เพื่อประเมิน “ความเสี่ยงส่วนบุคคลในการติดโรคหรือเหตุการณ์ในชีวิตอื่น ๆ ที่จะสามารถป้องกันได้”
นอกจากนี้ Jorgensen ยังกล่าวว่า AI ตัวนี้ไม่ควรถูกนำมาใช้โดยบริษัทประกันภัย เพราะแนวคิดพื้นฐานของการประกันภัย คือ การที่ผู้คนมาซื้อประกันเพื่อแบ่งเบาความเสี่ยง ทุกคนจ่ายเบี้ยประกันส่วนหนึ่งให้กับบริษัทประกันภัย โดยที่เราไม่รู้ว่าใครจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โชคร้าย แต่โมเดลนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่าใครมีแนวโน้มจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้ทุกคนสามารถ “แบ่งเบาความเสี่ยง” ได้
ประโยชน์ของ Death Bot
Death Bot สามารถใช้เพื่อประโยชน์ในหลายด้าน เช่น
- ใช้ในการวางแผนการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล โดยผู้ป่วยสามารถทราบถึงความเสี่ยงในการเสียชีวิตของตนเอง และสามารถวางแผนการรักษาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้น
- ใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตอาจได้รับการรักษาก่อน
- ใช้ในการวิจัยและพัฒนายาหรือการรักษาใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม Death Bot ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาข้อดีและข้อเสียที่แท้จริงของเทคโนโลยีนี้